วิธีการจัดการเรียนรู้

"สวัสดีครับ เรื่องวิธีการจัดการเรียนรู้ คุณเลือกเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น สามารถเลื่อนเมาส์อ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาสาระได้ตามสะดวกได้เลยครับ หรือหากต้องการให้ Luca ช่วยอธิบายในหัวข้อใดก็คลิกฟังเสียง Luca ที่ด้านล่างของแต่ละหัวข้อนั้นได้เลยครับ และเมื่อจบเนื้อหาแล้วอย่าลืมวัดค่าพลังการเรียนรู้เพื่อเก็บคะแนนด้วยนะครับ (โดยเมื่อกดปุ่ม Back กลับไปยังหน้าหลักของบทเรียนจะมีรายการให้เลือกทำแบบทดสอบหลังเรียนครับ)"

วิธีจัดการเรียนรู้หรือวิธีการสอน เป็นวิธีการหรือกระบวนการต่าง ๆ ที่ผู้สอนนำมาใช้สอนผู้เรียน เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ โดยผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจมีเทคนิค รวมทั้งมีทักษะในการนำวิธีการหรือกระบวนการสอนเหล่านั้นมาใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี แนวทางจัดการเรียนรู้มี 2 วิธี คือ การจัดการเรียนรู้แบบผู้สอนเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) และการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Center)  ซึ่งในปัจจุบันมุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้หรือยึดผู้เรียนเป็นสำคัญในการเรียนรู้ โดยเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) คือเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้แบบตั้งรับ (Passive learning) ซึ่งเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนเป็นผู้ป้อนข้อมูลการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน

1. การจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย
    การจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือวิธีสอนแบบบรรยาย (Lecture) เป็นการสอนแบบที่ครูเป็นศูนย์กลาง โดยมีครูเป็นผู้พูด ผู้บอกเล่าเนื้อหาสาระ หรือเรื่องราวต่าง ๆ จากความรู้และประสบการณ์ของผู้สอนให้ผู้เรียนฟัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนการสอนแบบทางเดียวจากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน หรือ Passive learning โดยวิธีสอนแบบบรรยาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1. ช่วยในการให้ความรู้หรือเรื่องราวต่าง ๆ แก่ผู้เรียนหรือผู้ฟังกลุ่มใหญ่ หรือใช้นำทางในการอ่านหนังสือของผู้เรียน เพราะผู้สอนจะเป็นผู้บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระต่าง ๆ ให้กับผู้เรียน
2. ช่วยประหยัดเวลาในการสอนหรือการให้ผู้เรียนต้องไปศึกษา ค้นคว้าและทดลองบางเรื่องด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนเป็นผู้ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระต่าง ๆ แล้วมาบรรยายให้ผู้เรียนฟัง
3. เหมาะสำหรับใช้ในการตอบคำถามหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวหรือถามตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
4. ต้องการสรุปบทเรียน หรือทบทวนบทเรียนที่เรียนไปแล้ว โดยผู้สอนเป็นผู้ใช้ประสบการณ์ต่าง ๆ ของตนในการสรุปเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนฟัง
5. ใช้บอกเล่าเรื่องราวที่ยาก ๆ หรือบทเรียนที่มีเนื้อหาสาระจำนวนมาก และต้องการกระชับเวลาเพื่อแนะนำให้ผู้เรียนเข้าใจได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์  การบรรยายพิเศษเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือการบรรยายเพื่อนำเสนอผลการศึกษาวิจัยต่าง ๆ เป็นต้น

2. การจัดการเรียนรู้แบบอภิปราย
      การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายหรือวิธีสอนแบบอภิปราย (Discussion) มีลักษณะเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้เรียนพิจารณาปัญหาที่จะหาคำตอบจากหลาย ๆ ความคิด แล้วร่วมกันนำเสนอประเด็น แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนช่วยกันตั้งประเด็นคำถาม ตอบคำถาม โต้แย้งและสนับสนุนความคิดเห็นต่าง ๆ ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง ส่วนผู้สอนจะเป็นเพียงผู้สร้างบรรยากาศและคอยเสริมสรุปประเด็น และแนะนำให้ผู้เรียนเห็นแนวทางการแก้ปัญหา ตลอดจนคอยกำกับดูแลให้การอภิปรายของผู้เรียนดำเนินไปตามเป้าหมายของการเรียนรู้

รูปแบบวิธีการอภิปราย
1. การอภิปรายแบบทั้งชั้น ผู้สอนจะทำการอภิปรายร่วมกับผู้เรียนในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ
2. การอภิปรายแบบโต้วาที ใช้กรณีที่มีผู้เรียนจำนวนไม่มากนัก โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็น 2 ฝ่าย กำหนดให้ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนความคิดเห็นหรือประเด็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ในการคัดค้านความคิดหรือประเด็นต่าง ๆ ที่ฝ่ายสนับสนุนได้นำเสนอมาอย่างมีเหตุมีผล เพื่อหักล้างแนวความคิดหรือข้อมูลต่าง ๆ ของฝ่ายนำเสนอ
3. การอภิปรายเป็นคณะ โดยผู้สอนแบ่งผู้เรียนในชั้นเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3-6 คน แต่ละกลุ่มจะได้รับหัวข้อไปศึกษาค้นคว้าแล้วนำมาอภิปรายภายในกลุ่ม จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลที่ได้ของกลุ่มเพื่อมานำเสนอผลการอภิปรายต่อกลุ่มใหญ่
4. การอภิปรายย่อย โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มขนาดเล็ก อภิปรายเวลาสั้น ๆ ในหัวข้อที่กำหนด เมื่ออภิปรายในกลุ่มเสร็จแล้ว แต่ละกลุ่มจะนำเสนอผลการอภิปรายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายทั้งชั้นอีกครั้ง
5. การอภิปรายกลุ่มใหญ่ กรณีมีจำนวนผู้เรียนไม่มากจนเกินไป ในการนำเสนอสาระข้อมูลต่างๆ ที่ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าจนรอบรู้หรือเชี่ยวชาญแล้วจัดให้มาสรุปเพื่ออภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ และผู้เสนอสาระข้อมูลต่าง ๆ จะเชิญชวนและเปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามคำถามในเรื่องที่สงสัยจากสิ่งที่ได้นำเสนอไป

3. การจัดการเรียนรู้โดยการแสดงบทบาทสมมติ
    การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยเริ่มจากการเลียนแบบบุคลิกลักษณะการกระทำของบุคคลในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งหรือปัญหาใดปัญหาหนึ่ง รวมไปถึงการแสดงละครเป็นเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ และวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือปัญหาที่เป็นมา ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากบทบาทที่ตนได้รับและบริบทของสถานการณ์สมมติต่าง ๆ

ประเภทการแสดงบทบาทสมมติ
1. ผู้แสดงจะต้องแสดงบทบาทของคนอื่นโดยละทิ้งแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง โดยจะพูด คิด และประพฤติหรือมีความรู้สึกเหมือนกับบุคคลที่ตนสวมบทบาท
2. ผู้แสดงจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง แต่นำบทบาทสมมติไปปฏิบัติหรือปรับใช้ในสถานการณ์ที่อาจพบในอนาคต

ผู้สอนควรเลือกใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติเมื่อมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้
1. ต้องการพัฒนาเจตคติของผู้เรียน
2. ให้ผู้เรียนได้พัฒนาบุคลิกลักษณะที่พึงประสงค์
3. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงออกถึงความรู้สึก ความคิดเห็นในการแก้ปัญหา การตัดสินใจและการปรับพฤติกรรมของตนเอง
4. ฝึกให้ผู้เรียนมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองโลกในแง่ดี มีความเข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นและของตนเองมากขึ้น

4. การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมจำลองสถานการณ์
      การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมจำลองสถานการณ์ (Simulation Gaming) เป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง พัฒนามาจากการแสดงบทบาทสมมติ โดยเป็นการจำลองสถานการณ์และการเล่นเกมไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นการนำเกมเข้ามาใช้ควบคู่กับการสอน  ซึ่งจะมีการกำหนดสถานการณ์จำลอง มีการกำหนดกติกาสำหรับเกม แล้วแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเพื่อเข้าไปเล่น เรียนรู้ แข่งขัน หรือแก้ปัญหาในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ เหล่านั้น

5. การจัดการเรียนรู้โดยใช้การระดมความคิด
      การจัดการเรียนรู้โดยใช้การระดมความคิด (Brainstorming) หรือการระดมสมอง เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผู้เรียนทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาร่วมกัน ผู้สอนจะเป็นผู้ชี้แนะหรือบอกแนวทางการค้นพบความรู้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องนำสิ่งที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมาระดมความคิดร่วมกัน และสรุปรวมให้ได้ว่ารายละเอียดหรือสาระสำคัญในเรื่องนั้นควรเป็นอย่างไร

6. การจัดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน
      การจัดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน (Learning Center) เป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยยึดหลักการจัดสภาพแวดล้อม และเน้นการใช้สื่อการสอนหลายอย่าง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองผ่านกิจกรรมจากชุดการสอนในแต่ละหน่วย ซึ่งจะแบ่งออกเป็นศูนย์ย่อย ๆ หรือเป็นฐานการเรียนรู้ และจัดเตรียมชุดกิจกรรมไว้เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติในแต่ละศูนย์การเรียน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยทั่วถึงกัน ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสค้นหาคำตอบด้วยตนเอง และสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ การสอนแบบศูนย์การเรียน ครูจะต้องจัดเตรียมเนื้อหาสาระวิชาไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า โดยอาจจะจัดไว้เป็นชุด เรียกว่าชุดการเรียน ประกอบด้วยจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม หัวข้อที่จะต้องเรียนรู้ เนื้อหาสาระของวิชา วิธีการเรียนรู้ กิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติ สื่อการเรียนรู้ วิธีการวัดผลและประเมินผล รวมทั้งบัตรกิจกรรมหรือคำสั่งต่าง ๆ สำหรับให้ผู้เรียนปฏิบัติตาม ซึ่งแต่ละชุดของการสอนหรือชุดของการเรียนจะมีความสมบูรณ์ในตัวเองและจบในแต่ละศูนย์ย่อยนั้น ๆ และผู้สอนจะต้องจัดเตรียมไว้ให้เพียงพอกับจำนวนของผู้เรียนที่จะต้องเข้าไปเรียนรู้พร้อมกันในแต่ละศูนย์การเรียน

7. การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
      การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนหรือสืบเสาะแสวงหาความรู้ (Inquiry) เป็นวิธีสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นกระบวนการฝึกผู้เรียนให้รู้จักและมีทักษะในการใช้ความคิดพิจารณาอย่างมีระบบ เพื่อแสวงหาความจริง โดยคิดอย่างมีวิจารณญาณรอบคอบ เพื่อนำไปสู่การหาเหตุผล วิเคราะห์ วิจัย และประเมินค่าเพื่อให้ได้ผลสรุปที่ต้องการ หรือสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การออกแบบทดลอง การพิสูจน์สมมติฐาน การสรุปผล และการนำไปใช้  โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 การตั้งปัญหา ผู้เรียนจะเริ่มต้นตั้งปัญหาในสิ่งที่ตนอยากจะรู้ ซึ่งปัญหานั้น ๆ อาจจะได้มาจากการสอนของผู้สอน เช่น ผู้สอนเสนอปัญหาเพื่อนำเข้าสู่บทเรียนหรือปัญหาที่พบจากการทดลอง หรือปัญหาที่พบจากบทเรียน เป็นต้น
ขั้นที่ 2 การตั้งสมมติฐาน เมื่อมีปัญหาแล้วผู้เรียนช่วยกันคิดหาคำตอบโดยอาศัยเหตุผลประกอบว่า คำตอบควรจะเป็นอะไรบ้าง โดยคำตอบเหล่านี้เรียกว่า สมมติฐานซึ่งอาจจะเป็นสมมติฐานที่ถูกต้องหรืออาจจะผิดก็ได้
ขั้นที่ 3 การออกแบบทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐาน เป็นการคิดหาวิธีการที่ จะทำการทดลองเพื่อที่จะให้ได้ผลออกมา ซึ่งผลที่ได้นั้นอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ก็ได้แต่จะทำให้ผู้เรียนรู้จักคิดค้น
ขั้นที่ 4 การพิสูจน์สมมติฐาน เป็นการพิสูจน์ว่าสมมติฐานใดเป็นไปได้การพิสูจน์สมมติฐานนี้อาจจะทำได้โดยการทดลองหรือระดมความคิด
ขั้นที่ 5 การสรุปผล เป็นขั้นที่สำรวจดูว่าสมมติฐานใดที่พิสูจน์แล้วถูกต้องสอดคล้องกับปัญหาที่ตั้งไว้ก็จะได้อภิปรายตัดสินและสรุปผล ซึ่งจะได้คำตอบของปัญหาที่ต้องการ
ขั้นที่ 6 การนำไปใช้ เป็นขั้นที่นำผลการสรุปไปประยุกต์ใช้ โดยครูอาจจะให้ผู้เรียนแก้ปัญหา สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง โดยใช้แนวคำตอบที่ได้จากการสรุปผลของการสืบสวนสอบสวนนั้น
จากขั้นตอนการสอน ทั้ง 6 ขั้นตอน ผู้เรียนจะเป็นผู้ดำเนินการในการแก้ปัญหาทั้งหมด ผู้สอนเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวกในการเรียนเท่านั้น และช่วยในการปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และผู้สอนจะมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้เรียนในการดำเนินการแก้ปัญหาเมื่อผู้เรียนเกิดติดขัด โดยอาจใช้คำถาม ถามเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนคิดเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งได้ผลสรุปที่ต้องการ

8. การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการทดลอง
      การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการทดลองหรือแบบปฏิบัติการ (Laboratory) เป็นการสอนที่เน้นการกระทำกิจกรรมที่ใช้ประสบการณ์ตรง เพื่อให้ได้ผลผลิตหรือข้อเท็จจริงจากการค้นคว้า ทดลอง และสังเกตเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่ม ตลอดจนฝึกปฏิบัติการใช้ทฤษฎี โดยผ่านการสังเกตภายใต้สภาพที่ควบคุมไว้อย่างปลอดภัย
การสอนแบบปฏิบัติการทดลอง มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1. ให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง โดยใช้กระบวนการสังเกตและการทดลอง
2. ให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญได้อย่างเหมาะสม  และเกิดเป็นทักษะที่มีความคล่องแคล่วในการคิดและการนำไปประยุกต์ใช้งาน
3. ให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถแสดงความคิดเห็นหรือจินตนาการได้อย่างอิสระ
4. เป็นการเร้าความสนใจในบทเรียน เพราะผู้เรียนจะได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน และเป็นการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือกระทำ
5. ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ซึ่งจะสามารถใช้เหตุและผลในการตัดสินใจต่อปัญหาหรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีวิจารณญาณ

9. การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย
      การสอนแบบนิรนัยหรืออนุมาน (หรือ Deductive) เป็นการสอนจากกฎเกณฑ์ไปสู่การยกตัวอย่าง โดยผู้เรียนจะได้รู้จักกับชื่อของหลักการ ทฤษฎี กฎเกณฑ์ นิยาม สูตร หรือหลักความจริงในภาพกว้างของเรื่องนั้น ๆ ก่อน แล้วจึงมีการศึกษาในรายละเอียดปลีกย่อยหรือยกตัวอย่าง ทำการพิสูจน์ ทดลอง เพื่อให้เห็นจริงตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นประเด็นหลักของเรื่องนั้น ๆ แล้วจึงนำหลักการหรือทฤษฎีนั้นไปประยุกต์ใช้ ตัวอย่างเช่น ในการสอนวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ครูจะบอกหัวข้อที่จะต้องเรียนรู้แก่ผู้เรียน เช่น อุปกรณ์และส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ จากนั้น ครูอาจจะสุ่มถามผู้เรียนหรือให้ผู้เรียนช่วยกันค้นหาคำตอบว่าอุปกรณ์และส่วนประกอบการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เสร็จแล้วครูจึงสรุปคำตอบหรือเฉลยคำตอบ

10. การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย
        การสอนแบบอุปนัยหรืออุปมาน (Inductive) เป็นการสอนจากการวิเคราะห์รายละเอียด ยกตัวอย่าง หรือส่วนประกอบปลีกย่อยไปสู่การสรุปเป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นหลักการที่สำคัญของเรื่องราว การสอนแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนรู้จักสังเกตและคิดวิเคราะห์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริง และรายละเอียดปลีกย่อยหรือส่วนประกอบย่อยของหลักการต่าง ๆ แล้วจึงเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันเพื่อนำไปสู่การสรุปให้เป็นหลักการ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นลักษณะของการวิเคราะห์รายละเอียดปลีกย่อยของสิ่งต่าง ๆ แล้วจึงตกผลึกหรือสังเคราะห์ให้เป็นหลักการหรือทฤษฎี ตัวอย่างเช่น ในการสอนเด็กอนุบาล ครูใช้วิธีตั้งคำถามเพื่อให้เด็กคิดและวิเคราะห์จากรายละเอียดปลีกย่อยว่า สัตว์อะไรเอ่ยมีรูปร่างใหญ่โต จัดเป็นสัตว์บก มี 4 ขา มีงวง และมีงา ซึ่งคำตอบ คือ ช้าง ในลักษณะนี้เป็นต้น

11. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
        การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project) เป็นวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริง ในลักษณะของการศึกษา สำรวจ ทดลอง หรือประดิษฐ์คิดค้น โดยมีครูเป็นผู้คอยกระตุ้น แนะนำ รวมทั้งให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
ประเภทของโครงงาน
1. โครงงานการประดิษฐ์คิดค้น
2. โครงงานการค้นคว้าทดลอง
3. โครงงานการสำรวจรวบรวมข้อมูล
4. โครงงานการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่
ขั้นตอนการจัดทำโครงงาน
1. คิดวิเคราะห์และเลือกหัวข้อเรื่อง
2. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
3. เขียนเค้าโครงและขั้นตอนการดำเนินงาน
4. ลงมือปฏิบัติและดำเนินกิจกรรมตามขั้นตอนของโครงงาน
5. รวบรวมผลการดำเนินงาน สรุปผลและเขียนรายงานสรุปผลการดำเนินงาน
6. นำเสนอหรือจัดแสดงผลงาน และประเมินผลการดำเนินงาน

12. การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT
        การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT เป็นตัวอย่างที่เคยเป็นนวัตกรรมการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา โดยเน้นการพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีก คือ ความสามารถของสมองซีกขวาและความสามารถของสมองซีกซ้าย
กระบวนการจัดการเรียนรู้ได้แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 การนำเสนอประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้เรียน เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรื่องที่เรียน
ขั้นตอนที่ 2 การเสนอเนื้อหา สาระ ข้อมูลแก่ผู้เรียน เป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้จากขั้นตอนที่ 1 มาสู่การสร้างความคิดรวบยอดเพื่อตอบคำถามให้ได้ว่าสิ่งที่เรียนนั้นคืออะไร
ขั้นตอนที่ 3 การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความคิดรวบยอด เป็นการพัฒนาความคิดรวบยอดมาสู่การปฏิบัติจริง และเป็นการหาคำตอบว่าจะทำได้อย่างไร
ขั้นตอนที่ 4 การนำความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้านำไปใช้ในชีวิตจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

13. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
        การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co-Operative Learning) เป็นการให้ผู้เรียน ทำงานร่วมกันและช่วยเหลือกันในชั้นเรียน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดี และช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกัน ผู้เรียนจะเรียนรู้ร่วมกันด้วยการลงมือกระทำ ผู้เรียนที่มีข้อบกพร่องก็จะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน คือการให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม
แนวคิดหลักที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิผล ประกอบด้วย
1. การจัดกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกัน
2. ความมุ่งมั่น โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันให้ประสบผลสำเร็จ
3. การจัดการ  โดยมอบหมายให้แต่ละกลุ่มมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบและมีการจัดการกระบวนการกลุ่มที่เหมาะสม มีความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
4. สร้างทักษะทางสังคม โดยเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์และทักษะการอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่น ให้การยอมรับ รับฟังความคิดเห็น และเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง
5. คำนึงถึงกฎพื้นฐาน 4 ข้อ ได้แก่ ให้การช่วยเหลือ  ยอมรับซึ่งกันและกัน  ใช้ความเสมอภาค และสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
6. ใช้รูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสลับสับเปลี่ยนกลุ่ม ทนายช่างซัก ซักไซ้ไล่เรียง อัศวินโต๊ะกลม หมู่-คู่-เดี่ยว ค้นหากติกา หรือรวมหัวคิด

14. การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
        การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) มีจุดเน้นที่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
C มาจาก Construct หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้
I มาจาก Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
P มาจาก Physical Participation หมายถึง การมีส่วนร่วมทางร่างกาย เช่น กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย
P มาจาก Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
A มาจาก Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการสอนตามหลักซิปปา
1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน เช่น การซักถามประสบการณ์
2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ
3. ขั้นศึกษาทำความเข้าใจความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม เช่น การให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา
4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เพื่ออาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ และขยายความรู้ให้กว้างขึ้น
5. ขั้นสรุปผลและจัดระเบียบความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย เช่น ให้ผู้เรียนสรุปประเด็นสำคัญด้วยผังมโนทัศน์
6. ขั้นแสดงผลงาน เพื่อให้โอกาสผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนด้วยการรับรู้ข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่น เช่น การจัดนิทรรศการ การเขียนเรียงความ การวาดภาพ หรือการแสดงบทบาทสมมติ
7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจและชำนาญ

15. การจัดการเรียนรู้แบบ MIAP
        แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบ MIAP เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน มีกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ
1. Motivation เป็นขั้นตอนการสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน โดยผู้สอนจะกระตุ้นความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้ในเนื้อหาสาระ ซึ่งผู้สอนอาจจะใช้วิธีการกระตุ้นเพื่อจูงใจด้วยสื่อที่หลากหลาย หรือการใช้คำถามเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมก่อนที่จะเริ่มการเรียนรู้
2. Information เป็นขั้นตอนให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง โดยผู้สอนจะเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมและจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าส่วนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นกรอบหรือแนวทางในการให้ผู้เรียนนำไปใช้สำหรับการศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติม
3. Application เป็นขั้นตอนให้ผู้เรียนได้ใช้ความพยายามในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ใช้ความพยายามหรือความสามารถของตนในการเรียนรู้ เพื่อลงมือปฏิบัติในการทำกิจกรรม หรือแบบทดสอบต่าง ๆ ที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่ให้ผลลัพธ์สอดคล้องตามจุดประสงค์ของการเรียน
4. Progress เป็นขั้นสำเร็จผล หรือขั้นติดตามความก้าวหน้า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ติดตามหรือตรวจสอบความสำเร็จจากการเรียนรู้และได้ลงมือปฏิบัติหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนเป็นการตรวจสอบและรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้สอนว่าควรปรับปรุงหรือแก้ไขอะไรบ้าง และผ่านจุดประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่ อย่างไร

16. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
        วิธีจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated) เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิม และประสบการณ์ใหม่ และเป็นประสบการณ์ตรงที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในวิชาการหลาย ๆ แขนงในลักษณะสหวิทยาการ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการแสวงหาความรู้ที่เชื่อมโยงทั้งหลักสูตรและวิธีการการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนแนวคิดของผู้เรียนเพื่อให้เกิดความรู้แบบองค์รวม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
วิธีสอนแบบบูรณาการทำได้ 2 วิธี คือ
1. การบูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยครูคนเดียวสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียว
2. การบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ครูคนเดียวสอนหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือครูหลายคนสอนแบบบูรณาการในลักษณะที่ครูจะต้องยึดมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งเป็นแกน แล้วรวบรวมเนื้อหาสาระของทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงมาอยู่ภายใต้หัวเรื่องการเรียนรู้เดียวกัน
วิธีสอนแบบบูรณาการ มีขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดหัวข้อสาระการเรียนรู้
2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
3. กำหนดเนื้อหาของเรื่อง
4. กำหนดขอบเขตการเรียนรู้
5. ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้
6. ประเมินผลการเรียนรู้

17. การจัดการเรียนรู้แบบใช้เส้นเล่าเรื่อง
        การจัดการเรียนรู้แบบใช้เส้นเล่าเรื่อง (Story Line) เป็นวิธีการสอนวิธีหนึ่งที่จัดเนื้อหาสาระ ของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรมาบูรณาการเข้าด้วยกัน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้ใด หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งเป็นแกนหลักของเรื่อง และเป็นการสมมติเรื่องราวหรือสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่จะเรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และให้ผู้เรียนได้ใช้ประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่มาแก้ปัญหา ถือเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาจากสถานการณ์สมมติไปสู่การแก้ปัญหาในชีวิตจริง และเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนรู้จักวิเคราะห์ปัญหา และเป็นการส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้เส้นเล่าเรื่อง มีดังนี้
1. สร้างหน่วยการเรียน
2. สร้างสถานการณ์หรือเรื่องราวจากหน่วยการเรียน
3. การจัดการเรียนรู้ต้องจัดทำเส้นทางการดำเนินเรื่อง คำถามนำ กิจกรรม สื่อการเรียนรู้ และลักษณะการเรียนโดยทำเป็นแผนการเรียนรู้
4. การสอนตามแผนการเรียนรู้จะแบ่งเวลาการเรียนตามเส้นทางการดำเนินเรื่อง 

18. การจัดการเรียนรู้แบบปุจฉาวิสัชนา
        การจัดการเรียนรู้แบบปุจฉา-วิสัชนา (Questioning-Answering) เป็นการเรียนรู้แบบถามตอบ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดและรู้จักค้นหาคำตอบด้วยตนเอง การใช้วิธีสอนแบบปุจฉา-วิสัชนาจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวในการคิด วิเคราะห์ และกล้าแสดงออกในการแสดงความคิดหรือการมีส่วนร่วมในการตอบคำถามต่าง ๆ 

19. การจัดการเรียนรู้แบบโครงสร้างความรู้
        การจัดการเรียนรู้แบบโครงสร้างความรู้หรือแผนผังความคิด (Graphic Organizer) เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลหรือความรู้จากการศึกษาค้นคว้า การอ่าน การฟังคำบรรยาย แล้วนำข้อมูลมาจัดกลุ่ม เขียนเป็นภาพแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างความคิด กระบวนการคิด และความสัมพันธ์ของกระบวนการคิด โดยใช้รูปภาพ แผนภาพหรือสัญลักษณ์เป็นสื่ออธิบายความคิดนั้น ได้แก่
1. แผนผังความคิด (Mind Mapping) เป็นรูปแบบที่ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ระหว่างการคิด กระบวนการคิดและความสัมพันธ์ของกระบวนการคิดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีลักษณะของแผนผังแตกแขนงจากตรงกลาง แผ่ขยายออกไปในทิศทางต่างๆ
2. ผังแสดงความสัมพันธ์แบบโครงสร้างต้นไม้ (Tree Structure) จะใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ของเรื่องที่มีความสำคัญลดหลั่นกันเป็นลำดับ โดยวิธีการเขียนให้เริ่มต้นเขียนหัวข้อเรื่องไว้ข้างบน หรือตรงกลาง แล้วลากเส้นให้เชื่อมโยงกับความคิดรวบยอดอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรองลงไปตามลำดับ
3. แผนผังความคิดแบบเวนน์ (Venn Diagram) เป็นแผนผังที่ใช้แสดงข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดที่หมายถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ของบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของในลักษณะต่าง ๆ เป็นการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของแนวคิด ตั้งแต่ 2 แนวคิดขึ้นไป เพื่อค้นหาว่าส่วนใดมีลักษณะที่มีความเหมือนหรือมีความแตกต่างกันบ้าง ซึ่งมักจะแสดงออกมาในรูปแบบของภาพวงกลมวางซ้อนทับกัน เพื่อแสดงให้เห็นจุดตัดที่เป็นส่วนร่วมหรือมีความเหมือนกัน
4. แผนผังความคิดแบบวงจรหรือแบบวัฏจักร (Cycle Graph) เป็นการคิดแบบวงจร ที่ใช้แสดงข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ กับระยะเวลาที่มีการเรียงลำดับการเคลื่อนไหวของข้อมูลที่เป็นวัฏจักร ซึ่งอาจจะไม่มีจุดเริ่มต้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง
5. แผนผังก้างปลา (Fish Bone) เป็นแผนผังความคิดที่นิยมใช้เพื่อแสดงสาเหตุ และผลต่าง ๆ ของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะหรือรูปร่างคล้ายโครงกระดูกก้างปลา
6. แผนผังแบบลำดับขั้นตอน (Sequence Chart) เป็นแผนผังที่แสดง ให้เห็นถึงสภาพเหตุการณ์หรือเนื้อหาสาระที่เป็นกระบวนการเรียงตามลำดับขั้นตอน เป็นแผนผังที่แสดงให้เห็นถึงสภาพเหตุการณ์หรือเนื้อหาสาระที่เป็นกระบวนการเรียงตามลำดับอย่างต่อเนื่อง หรือมีการเรียงลำดับตามความเหมาะสม ก่อน-หลัง หรือง่ายไปหายาก

References:

ฆนัท ธาตุทอง. (2559). หลักการจัดการเรียนรู้. นครปฐม: เพชรเกษมการพิมพ์.
จอมหทยาสนิท พงษ์เสฐียร. (2563). โรงเรียนแห่งความฉลาดรู้. วารสารการศึกษาไทย (OEC Journal), 17(3), 75–79.
ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2548). เทคนิคการสอนร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: บริษัท หลักพิมพ์ จำกัด.
ณิรดา เวชญาลักษณ์. (2561). หลักการจัดการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ และศศิธร นาม่วงอ่อน. (2561). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ร่วมกับกระบวนการ QSCCS สำหรับหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา. Panyapiwat Journal, 10(3), 309–321.
ทิศนา แขมมณี. (2561). ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 22). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เบญจวรรณ กี่สุขพันธ์ พันพัชร ปิ่นจินดา และอลงกรณ์ เกิดเนตร. (2561). การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน. กรุงเทพฯ: ศูนย์บริการสื่อและสิ่งพิมพ์กราฟฟิคไซท์.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2558). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2560). ทักษะ 7C ของครู 4.0 (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วัชรา เล่าเรียนดี ปรณัฐ กิจรุ่งเรือง และอรพิณ ศิริสัมพันธ์. (2560). กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อพัฒนาการคิดและยกระดับคุณภาพการศึกษา สำหรับศตวรรษที่ 21. นครปฐม: บริษัท เพชรเกษม พริ้นติ้ง กรุ๊ป จำกัด.
วิจารณ์ พาณิช. (2556). การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21. (มูลนิธิสยามกัมมาจล). กรุงเทพฯ: ส.เจริญการพิมพ์.
วิจารณ์ พานิช. (2556). ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง (พิมพ์ครั้งที่ 2). (มูลนิธิสยามกัมมาจล). กรุงเทพฯ: บริษัท เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จำกัด.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค.
สุพิน บุญชูวงค์. (2548). หลักการสอน. กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.
สุรางค์ โค้วตระกูล. (2559). จิตวิทยาการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 12). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุวณี อึ่งวรากร. (2558). ครู: อภิวัฒน์การเรียนรู้สู่คุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health, 2(1), 65–78.
อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2553). หลักการสอน ฉบับปรับปรุง (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์.